โรคมะเร็ง สังเกตได้ด้วยตัวเอง

 

โรคมะเร็งนับเป็นหนึ่งในสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆ ของประชากรโลก เพราะเป็นโรคที่ไม่เเสดงอาการชัดเจน เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกายโดยมีการเจริญเติบโตที่ผิดปกติ เกิดเป็นก้อนเนื้อที่มีการลุกลามไปยังอวัยวะข้างเคียงหรือกระจายไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกาย มะเร็งบางชนิดอาจไม่มีความผิดปกติของร่างกายใดๆให้เห็น ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดหากมีความผิดปกติในร่างกายนั่นก็คือ การตรวจคัดกรอง เป็นการตรวจโรคในระยะต้น หากพบว่าเป็นจะได้รักษาอย่างทันท่วงที

สาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งนั้นเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั่นเอง เช่น การรับประทานอาหารประเภทปิ้งย่าง อาหารทอด อาหารไขมันสูง การสูบบุหรี่ การดื่มสุรา ความเครียด ความอ้วน ไม่ออกกำลังกาย ไม่รับประทานทานผัก ผลไม้สด เป็นต้น

 

สำหรับในประเทศไทยนั้น โรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ติดต่อกันหลายสิบปี จากข้อมูลพบว่าคนไทยเสียชีวิตจากโรคนี้ถึงปีละกว่า 67,000 คน หรือเฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน และพบผู้ป่วยรายใหม่เฉลี่ยราว 120,000 คนต่อปี ซึ่งมะเร็งที่พบมากที่สุดในเพศชาย คือ มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ส่วน 5 อันดับโรคมะเร็งในผู้หญิงได้แก่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งตับและท่อน้ำดี มะเร็งปอด และมะเร็งลำไส้ใหญ่

 

มะเร็งชนิดต่างๆ คนไทยเป็นมากที่สุด

มาทำความรู้จักกับมะเร็งชนิดต่างๆ ที่คนไทยเป็นมากที่สุด นั่นก็คือ

 

มะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับ เป็นโรคมะเร็งที่พบได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของทั้งเพศชายและเพศหญิง ซึ่งโรคมะเร็งชนิดนี้มีอาการลุกลามค่อนข้างรวดเร็วและมีโอกาสหายขาดน้อยมาก เกิดขึ้นจากการที่ DNAในเซลล์ตับเกิดการกลายพันธุ์จนทำให้โครงสร้างเซลล์เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้เซลล์เติบโตขึ้นอย่างผิดปกติและพัฒนาเป็นเนื้องอกในที่สุด

 

อาการของมะเร็งตับ

โรคมะเร็งตับมักไม่มีสัญญาณหรืออาการบ่งบอกในระยะแรกเริ่ม จนเมื่อมะเร็งพัฒนาถึงขั้นแสดงอาการจึงจะสังเกตได้ดังนี้

• น้ำหนักลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุ       
• ไม่อยากอาหาร รู้สึกอิ่มแม้รับประทานไปเพียงเล็กน้อย
• คลื่นไส้ อาเจียน
• เจ็บช่องท้องส่วนบน โดยมักจะปวดบริเวณด้านขวา
• ผิวหนังและตาเหลือง (ดีซ่าน)             
• เป็นไข้
• มีอาการบวมที่ช่องท้องหรือคลำพบก้อนใตชายโครงด้านขวา เนื่องจากตับโต อาจคลำพบก้อนที่ชายโครงด้านซ้ายเนื่องจากม้ามโต    

 

การป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคมะเร็งตับ

• งดดื่มสุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
• หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจปนเปื้อนเชื้อราหรือสารอะฟลาท็อกซิน ได้แก่ ธัญพืชต่างๆ
• ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี โดยการฉีดวัคซีน
• หากป่วยเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรังจากไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ต้องรับการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่องด้วยวิธีที่เหมาะสม ซึ่งสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งตับได้
• กรณีที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับ ควรเฝ้าระวังเป็นระยะๆ โดยการตรวจเลือดและตรวจอัลตราซาวนด์เพื่อหามะเร็งตับทุกๆ 6 เดือน

 

 

มะเร็งปอด

มะเร็งปอด เกิดจากเซลล์เนื้อเยื่อบุผิวเจริญเติบโตผิดปกติอย่างรวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมได้ และเกิดเป็นก้อนเนื้อร้ายในที่สุด โดยเชื้อร้ายนี้นอกจากจะแทรกซึมและทำลายปอดแล้วยังมีการรุกรานไปที่อวัยวะอื่นๆ อย่างรวดเร็วอีกด้วย กว่าผู้ป่วยจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็น เชื้อร้ายมักจะทำลายปอดจนยากที่รักษา

 

อาการของมะเร็งปอด

โรคมะเร็งปอดในระยะแรกเริ่มจะไม่แสดงอาการใดๆ กว่าจะแสดงอาการก็ต่อเมื่อเข้าสู่ระยะที่ 3-4 แล้ว ซึ่งผู้ป่วยจะสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้

 

• ไอเรื้อรัง มีอาการไอเป็นเวลานาน มีเสมหะเป็นเลือด เสียงแหบ เจ็บหน้าอกเมื่อไอ
• ปัญหาด้านการหายใจ มีอาการหายใจลำบาก รู้สึกเหนื่อยหอบตลอดเวลา หายใจมีเสียงหวีด
• เบื่ออาหาร เพราะเนื้อร้ายจะไปกดเบียดหลอดอาหารทำให้กลืนอาหารลำบาก อ่อนเพลีย และส่งผลให้น้ำหนักลดลงอย่างผิดปกติ
• อาการอื่นๆ เช่น มีไข้ หนาวสั่น ปวดตามข้อ ปวดกระดูก ตาเหลือง ตัวเหลือง เลือดอุดตันที่ใบหน้าทำให้หน้าบวม เป็นต้น

 

การป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคมะเร็งปอด

โรคมะเร็งปอดยังไม่มีวิธีใดที่สามารถป้องกันการเกิดโรคได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่สามารถป้องกันความเสี่ยงได้คือ

 

• งดสูบบุรี่ หลีกเลี่ยงการรับควันบุหรี่มือสอง
• เลือกรับประทานที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเน้นการรับประทานผักและผลไม้
• หลีกเลี่ยงสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายหรือสารพิษที่อาจเป็นสารก่อมะเร็ง ควรมีการป้องกันการสูดดมสารเหล่านั้นเข้าไปโดยตรง
• มีออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

 

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่ คือมะเร็งที่เกิดกับส่วนใดส่วนหนึ่งในลำไส้ใหญ่ โดยเริ่มตั้งแต่ส่วนที่ต่อจากลำไส้เล็กไปจนถึงส่วนปลายที่ติดกับทวารหนัก ส่วนมากจะเริ่มจากการเกิดติ่งเนื้อขนาดเล็กภายในลำไส้ใหญ่จนเกิดการพัฒนากลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่

 

อาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่

แต่ละคนอาจมีอาการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งอาการที่พบบ่อยๆ มีดังนี้

• พฤติกรรมการขับถ่ายเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และมักเกิดขึ้นนานหลายสัปดาห์ เช่น ท้องเสีย ท้องผูก ลักษณะอุจจาระที่เปลี่ยนไป
• ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด
• รู้สึกถ่ายไม่สุด
• ปวดท้อง รู้สึกแน่นอึดอัดบริเวณช่วงท้องเหมือนมีแก๊สในท้อง ท้องอืด
• อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย
• น้ำหนักลงโดยไม่มีสาเหตุ

 

การป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำเนินชีวิต เน้นรับประทานผัก ผลไม้ และธัญพืช จำกัดหรือลดอาหารเนื้อแดง เนื้อที่ผ่านกระบวนการ เนื้อสัตว์ที่ผ่านการทอด ปิ้ง หรือย่าง อาหารเค็มหรืออาหารหมักดอง อาหารจำพวกแป้ง และอาหารที่มีไขมันสูง หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30 นาที แค่นี้ก็สามรถป้องกันตนเองจากโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ในระดับหนึ่ง

 

 

มะเร็งเต้านม

โรคมะเร็งเต้านมเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์บนผิวของต่อมเต้านมได้รับผลกระทบจากสารก่อมะเร็ง ทำให้ยีนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน จนทำให้เซลล์เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ เกิดขึ้นในผู้หญิงที่อยู่ในช่วงระหว่างอายุ 40-60 ปี ซึ่งอยู่ในวัยก่อนหรือหลังหมดประจำเดือน

 

อาการของมะเร็งเต้านม

บางครั้งผู้หญิงที่เป็นมะเร็งเต้านมอาจไม่มีอาการของมะเร็งเต้านม หรือบางครั้งอาการผิดปกติที่เป็นอาจไม่ใช่โรคมะเร็งก็ได้ ดังนั้นจึงควรไปพบแพทย์เมื่อมีอาการดังต่อไปนี้

• คลำพบก้อนที่เต้านมหรือใต้แขน
• บริเวณหัวนมบุ๋ม มีน้ำเหลือง หรือมีแผล
• เต้านมมีผื่น แดง ร้อน ผื่นคล้ายผิวส้ม
• มีอาการปวดบริเวณเต้านม

 

การป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคมะเร็งเต้านม

ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองเป็นประจำทุกเดือน โดยเริ่มตรวจตั้งแต่อายุยังน้อย และเข้ารับการตรวจจากแพทย์ โดยการตรวจเอกซเรย์เต้านม (Mammogram) ประมาณปีละ 1 ครั้ง เนื่องจากมะเร็งเต้านมยังไม่พบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด การป้องกันได้เต็มประสิทธิภาพจึงทำได้ยาก ดังนั้นควรดูแลตนเองเบื้องต้นโดยการ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้

 

มะเร็งปากมดลูก

มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งในเพศหญิงที่พบได้บ่อยที่สุดเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูกเป็นก้อนเนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบริเวณมดลูก ช่องคลอด และช่องปากมดลูก มักจะเกิดในหญิงอายุประมาณ 50 ปี อีกทั้งผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกจำนวนมากจะเป็นผู้หญิงที่แต่งงานตั้งแต่อายุยังน้อย ตั้งครรภ์เร็ว คลอดบุตรหลายครั้ง และผู้ที่ติดเชื้อไวรัส HPV แต่ช่วงไม่กี่ปีมานี้ โรคมะเร็งปากมดลูกมีแนวโน้มที่จะเกิดกับหญิงที่อายุยังน้อยอีกด้วย

 

อาการของมะเร็งปากมดลูก

• มีเลือดออกจากช่องคลอดอย่างไม่ทราบสาเหตุ เช่น ขณะหรือหลังมีเพศสัมพันธ์ หลังตรวจภายใน
• ยังคงมีเลือดออกจากช่องคลอด หลังหมดประจำเดือนแล้ว หรือประจำเดือนมากะปริดกะปรอยผิดปกติ
• มีตกขาวอย่างเห็นได้ชัด และอาจมีเลือดปน
• มีอาการเจ็บ ขณะมีเพศสัมพันธ์
• มีสารคัดหลั่งออกมาจากช่องคลอดมากผิดปกติ หรืออาจปนเลือด
• ปัสสาวะบ่อย หรืออาจปวดบวม ปัสสาวะไม่ออก
• อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
• เบื่ออาหาร ซูบผอม น้ำหนักลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
• ปวดท้องน้อย
• หากอาการรุนแรงขึ้น อาจจะมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น ขาบวม ปวดหลัง ปัสสาวะมีเลือดปน เป็นต้น

 

การป้องกันตัวเองให้ห่างจากโรคมะเร็งปากมดลูก

การป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกสามารถทำได้โดยการฉีดวัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV ที่สามารถป้องกันไวรัสนี้ได้บางสายพันธุ์ การดูแลเบื้องต้นด้วยตนเอง สามารถทำได้โดยการป้องกันขณะมีเพศสัมพันธ์ ใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดต่อ ไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อยๆไม่สูบบุหรี่ ดูแลสุขภาพร่างกาย ตรวจสุขภาพ และตรวจด้วยชุดคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเป็นระยะ

         

 

โรคมะเร็งที่กล่าวมาข้างต้น เป็นอันดับต้นๆ ที่คนไทยเป็นกันจำนวนมาก แต่ถ้าเราดูแลสุขภาพของเราเป็นอย่างดี ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่สุ่มเสี่ยงต่อโรค ก็จะช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ในระดับหนึ่ง

 

โรคมะเร็งนั้นเป็นโรคที่ไม่มีใครอยากเป็น เพราะว่าค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลค่อนข้างสูง เราก็ควรที่จะวางแผนสุขภาพในระยะยาว โดยการเลือก ซื้อประกันมะเร็ง ไทยประกันชีวิต ไว้คุ้มครองตัวเองจะได้ไม่เป็นภาระค่าใช้จ่ายของตนเองและครอบครัวในอนาคต ถ้าตรวจไม่พบโรคก็มีเบี้ยประกันคืนให้ คุ้มครองคุ้มค่าเพราะมีเบี้ยความคุ้มครองที่สูง ครอบคลุมหลายโรค ดังนั้น ถ้าหากพบอาการเหมือนกับที่กล่าวมา เราก็ไม่ควรนิ่งเฉย ปล่อยไว้จนสายเกินแก้ ไปพบแพทย์เพื่อตรวจดู จะได้หาทางรักษาอย่างทันท่วงที เพราะหากเป็นตั้งแต่ระยะแรกเริ่มยังสามารถมีโอกาสรักษาให้หายขาดได้