ใกล้จะปีใหม่แล้ว หลายคนคงได้ตั้งปณิธานกับตัวเองหลายๆ ข้อ เป็นเป้าหมายของชีวิตในปีหน้า ไม่ว่าจะเป็น ปีหน้านี้ ฉันจะลดน้ำหนักให้ได้ ปีหน้านี้ ฉันจะซื้อบ้าน และอื่นๆ อีกมากมาย แต่อันดับต้นๆ ที่หลายคนมักตั้งใจว่าจะทำให้ได้ ก็คือ ปีหน้านี้ ฉันจะเก็บเงินให้ได้มากๆ และในปีนี้คงมีหลายคนอาจจะประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจอันเกิดจากโรคระบาดโควิด-19 จนทำให้มีเงินเก็บน้อยลง ในปีหน้านี้เราลองมาตั้งใจเก็บเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ วันนี้เรามาตั้งเป้าหมายและวางแผนในการออมเงิน สำหรับปีหน้าไปด้วยกัน
การตั้งเป้าหมายที่ดีนั้น ควรตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน จะช่วยให้เราไปยังจุดหมายได้ตรงทางมากขึ้น เช่น ออมเพื่อไว้ใช้ยามฉุกเฉิน ออมเพื่อเก็บเงินเรียนต่อ, เก็บเงินแต่งงาน, เก็บเงินดาวน์บ้าน หรือซื้อรถยนต์ ออมเพื่อเกษียณ เป็นต้น ซึ่งการตั้งเป้าหมายที่ดีนั้นประกอบไปด้วย หลัก SMART ก็คือ
· S – Specific (เจาะจง) มีความชัดเจน กำหนดให้แน่นอนว่าเราจะออมเงิน เพื่ออะไร นำไปใช้ทำอะไร
· M – Measurable (วัดผลได้) เป้าหมายที่ดีควรตั้งให้วัดผลได้ เครื่องมือในการวัดผลคือ “ตัวเลขหรือจำนวนเงิน” เช่น จำนวน 100,000 บาท หรือ 20% ของรายได้ทุกเดือน เป็นต้น
· A – Achievable (ทำสำเร็จได้) เป้าหมายที่ดีควรทำให้สำเร็จ และเราต้องรู้วิธีการที่จะนำพาไปสู่ความสำเร็จด้วย เช่น หากเราต้องการเก็บเงินให้ได้ตามเป้า สิ่งที่เราต้องทำคือ การอดออม หรือหารายได้เสริม เป็นต้น
· R – Realistic (เป็นไปได้) มีความเป็นไปได้จริง สมเหตุสมผล
· T – Timely (มีเวลาที่แน่นอน) กำหนดเวลาให้แน่นอน ทำให้สำเร็จภายในระยะเวลาที่กำหนด
กำหนดงบประมาณรายเดือน ควรเผื่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นไว้เสมอ จัดทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ดูว่าพฤติกรรมการใช้เงินในชีวิตประจำวันเป็นอย่างไร และผลลัพธ์ของการทำบัญชีนี้จะบอกความสามารถในการออม ว่าเงินที่ใช้จ่ายในชีวิตประจำวันนั้นสมเหตุสมผลกับเงินที่แบ่งออมไปหรือไม่
นำเงินเดือนที่ได้รับหักไปเก็บ 10 – 20% เนื่องจากการรอเก็บจากเงินที่เหลืออยู่ในภายหลังอาจจะไม่เหลือเงินเก็บเลยก็ได้ โดยวิธีการเก็บเงินไม่ควรเก็บไว้กับบัญชีปกติ ควรมีบัญชีเงินฝากแยกเก็บโดยเฉพาะ
สำหรับการวางแผนออมเงิน เรามีวิธีการออมเงินง่ายๆ 4 วิธี มาให้เลือกออมกัน ได้แก่
วิธีการก็คือ วันที่ 1 ให้หยอดเหรียญสิบ 1 เหรียญ วันที่ 2 หยอด 2 เหรียญ ไปเรื่อยๆวันที่ 10 หยอด 10 เหรียญ หรือจะเปลี่ยนเป็นหยอด “แบงก์ร้อย” แทนก็ได้ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนวันที่ 30 ก็หยอดไปเลย 30 เหรียญ แล้วพอสิ้นปีทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ เราก็จะมีเงินเก็บอย่างน้อย 55,800 บาทเลยทีเดียว
สำหรับหลักการคือ “หัก 10%” คือ ทุกครั้งที่มีรายรับเข้ามา ให้หัก 10% ของเงินก้อนนั้น เก็บใส่บัญชี ส่วน “ลด 10%” คือ ให้ลดค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 10% ทุกครั้งที่จะจ่าย เช่น เคยซื้อเสื้อผ้าครั้งละ 1,000 บาท ก็ลดเหลือ 900 บาท แล้วนำเงินที่ลดได้ทั้งหมดไปสมทบกับเงินเก็บก้อนแรกที่หักไว้
เชื่อว่าหลายคนชอบใช้วิธีนี้ เพราะแบงค์ 50 เปรียบเสมือนแรร์ไอเทม เวลาเจอแล้วใช้ทีต้องมีเงินทอนติดมือกลับมาตลอด เราขอแนะนำ เปลี่ยนพฤติกรรมจากการหยิบแบงค์ 50 ที่มีมาใช้ เป็นหยิบแบงค์ 50 ในกระเป๋าไปหยอดกระปุก ห้ามแอบนำมาใช้รับรองว่าเก็บแบบนี้ไม่นาน ได้แตะเงินหมื่นแน่นอน
ประกันออมทรัพย์ เป็นประกันชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่เน้นในเรื่องของการออมเงิน พร้อมรับความคุ้มครองไปพร้อมๆ กัน เรามีประกันดีๆ มานำเสนอก็คือ ประกันสะสมทรัพย์ ลดหย่อนภาษี มันนี่ ฟิต เวลท์ตี้ 11/5 ประกันชีวิตรูปแบบใหม่ ทางเลือกการออมที่ใช่ เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการลดหย่อน เพราะว่า จ่ายเบี้ยสั้นๆเพียง 5 ปี มีทุนประกันเริ่มต้นที่ 30,000 บาทไปจนถึง 600,000 บาท ได้รับความคุ้มครองสูงสุดถึง 11 ปี ซึ่งในระหว่างสัญญายังได้รับเงินคืนทุกปี และเมื่อครบกำหนดระยะเวลา 11 ปี จะได้ผลตอบแทนคืนสูงสุดถึง 3 ล้านบาท และที่สำคัญสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท
· แบ่งเงินเดือนบางส่วนมาออม ควรออมให้ได้ 10-20% ของเงินเดือนโดยเปิดบัญชีสำหรับการออมเงินโดยเฉพาะ ฝากประจำยิ่งดีเพราะไม่สามารถถอนออกมาใช้ได้
· หางานพิเศษเพิ่มรายได้ หางานพาร์ทไทม์ทำเพื่อเพิ่มรายได้จากเงินเดือน จะได้มีเงินสำหรับออมมากยิ่งขึ้น
· ลงทุนต่อยอดเงินออม วิธีนี้ทำได้โดยการเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ได้ดอกเบี้ยสูงกว่าเงินฝากออมทรัพย์ หรือจะซื้อสลากออมทรัพย์ไว้ลุ้นรางวัลก็ได้ รวมทั้งลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงไม่สูงมาก
การออมเงินไม่ใช่เรื่องยาก แต่เป็นเรื่องของการวางแผนทางการเงิน ตั้งใจ หักห้ามใจ และมีวินัยในตนเอง เริ่มได้ด้วยการสร้างวินัยการออมให้กับตนเอง ด้วยการตั้งเป้าหมายการออมและตั้งใจทำอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้เกิดความเคยชินไปกับการออมเงินด้วยตนเอง ยังไงขอให้ทุกคนประสบความสำเร็จกับการออมเงิน